ประวัติ
NSR 250 KEY CARD รถสะสมในตำนาน
ทำไมมันถึงถูกตั้งชื่อว่า key card ก็เพราะว่ามันใช้การ์ดแทนลูกกุญแจ และสามารถเพิ่มความแรงด้วยการเปลี่ยนการ์ด A การ์ด B และการ์ด C เหมือนซื้อบัตรโทรศัพท์แล้วเสียบเข้าไปก็แรง เป็นรถเก่าในตำนานที่กลายเป็นรถสะสมอีกรุ่นนึง ที่หาดูได้ยากมากๆ
ก่อนจะมาเป็น NSR250 ฮอนด้าเริ่มต้นสายตระกูลนี้ด้วยโมเดล NS250R - MC11 เป็นตัวแรกในปี 1984 โดยมีต้นแบบมาจาก NS500 ตัวแข่ง WorldGP และแชมป์โลกปี 1983 ด้วยการแปลงร่างมาเป็นเครื่องยนต์ V2, 90 องศา 2 จังหวะ ที่มีเฟรมและสวิงอาร์มเป็นอลูมิเนียม ซึ่งเป็นของใหม่สำหรับยุคนั้น สร้างกำลังต่อเนื่องด้วยระบบวาล์วไอเสีย ATAC (Automatically-controlled Torque Amplification Chamber) กระบอกสูบเคลือบ Nikosil (Nickel-Silicon Carbide) ช่วยลดแรงเสียดทาน แข็ง การสึกหรอต่ำผลคือได้กำลังออกมา 45 PS @ 9,500 rpm และแรงบิด 3.6 kg-m @ 8,500 rpm และช็อคอับหน้าใส่ระบบ TRAC ซึ่งจะช่วยป้องกันการยุบตัวอย่างเร็วของช็อคอับหน้าขณะเบรครุนแรง และมีตัวล็อคหมวกกันน็อคซ่อนอยู่ในแฟริ่งท้าย ระบบ ATAC คือระบบที่จะเพิ่มระยะทางการไหลของแรงดันย้อนกลับในท่อไอเสียให้สัมพันธ์กับความเร็วรอบ
ปลายปี 1986 ฮอนด้าก็เปิดตัว NSR250R ในรหัส MC16 หรือเป็นที่รู้จักกันว่า PGM I เพื่อเป็นการฉลองชัยชนะใน WoldGP เป็น NSR250 ตัวแรกและตัวเดียวที่ใช้แม็ก 3 ก้าน มีการเปลี่ยนแปลงจาก NS ไปมากมาย เครื่องยนต์ใหม่ที่เล็กและเบากว่า ส่งไอดีเข้าในแบบ Crankcase Reed valve เลิกใช้ ATAC เปลี่ยนมาเป็น RC-Valve แทน ปั๊ม 2T ควบคุมมด้วยกล่อง ECU การจัดวางเครื่องยนต์แบบใหม่ให้สูบหน้าหัวทิ่มลง 20 องศาเฟรมอลูมิเนียมใหม่ที่เบากว่าและแข็งแรงกว่าเดิม ลดระดับเบาะนั่งต่ำลงอีก 30 มม. ทำเบาะคนซ้อนเป็นแบบต่างระดับให้เป็นแฟริ่งท้ายสไตล์รถแข่งไปในตัว ลดน้ำหนักรวมลงมารวดเดียว 19 กก. แล้วยังกินน้ำมันน้อยกว่าเดิมด้วย ปลายปี 1987 มีการแนะนำรถของปี 1988 มีการพัฒนา NSR250R อีกครั้งด้วยรูปลักษณ์ใหม่ กับรหัส MC18 หรือชื่อที่นิยมเรียกว่า PGM II ด้วยการเพิ่มความสามารถต่างๆเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นคาร์บูไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยกล่อง PGM ระบบ RC-Valve รุ่นที่สอง เฟรมอลูมินั่มอัลลอยด์ใหม่ที่มีหน้าตัดรูปห้าเหลี่ยม แฟริ่งใหม่ตลอดคันโดยเฉพาะแฟริ่งท้ายอันมหึมาเพื่อช่วยด้านอากาศพลศาสตร์ เปลี่ยนมาใช้แม็กหกก้านของ Enkai เครื่องยนต์ลูกเดิมแต่ปรับปรุงภายในใหม่ รีดวาล์วแบบหกแผ่น ปลายท่ออลูมิเนียม ปั๊ม 2T แบบใหม่ขนาดเล็กลงแต่ทำงานดีกว่าเดิมโดยเฉพาะที่รอบสูงๆ
ปีต่อมามีรุ่นฉลองแชมป์เป็น NSR250SP MC-18 (R4J) ด้วยการคาดลาย Rothmans Honda และเปลี่ยนล้ออลูมิเนียม Enkai มาเป้นวงล้อแม็กนีเซียมของ Magtek ทำให้น้ำหนักเบาลงไป 1 กก. ผลิตแบบจำกัดจำนวน 3,000 คัน 1989 มีการปรับปรุง MC18 อีกครั้งโดยใช้เครื่องยนต์เดิม แต่รูปโฉมภายนอกใหม่ ชุดท่อไอเสียใหม่ สวิงอาร์มปาดมุมเป็นหกเหลี่ยม ยางหน้ากว้างกว่าเดิม คาดลายแบบใหม่ และพัฒนา PGM II ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น และเป็นปีแรกที่เริ่มการจำกัดความเร็วที่ 180 กม./ชม. ปลายปี 1993 มีการแนะนำ NSR250 สำหรับปี 94 เป็นโมเดลใหม่ที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง สิ่งสำคัญที่เป็นเอกลักษณ์ของรุ่นนี้คือ Pro Arm และกุญแจ Key Card โดยเปิดตัว NSR250R MC28 (PGM IV) ในเดือนตุลาคม รุ่น SE ในเดือนพฤศจิกายน และรุ่น SP ที่จำกัดจำนวนไว้ 1,500 คันเปิดตัวในเดือนธันวาคมเปลี่ยนเฟรมใหม่ หน้าตาภายนอกไม่เหมือนเดิม คาลิเปอร์เบรคหน้าสี่ลูกสูบตัวใหม่ที่เบากว่าเดิม เบรคหลังเปลี่ยนเป็นสองลูกสูบสไลด์
และต้องลดกำลังเครื่องยนต์ตามข้อกำหนดเรื่องมลภาวะ แล้วค่อยไปเปลี่ยน Key Card เอาทีหลัง หน้าตาของ Key Card ที่ใช้แทนกุญแจ นอกจากจะมีรหัสประจำที่ต้องแมทช์กับกล่อง PGM IV แล้ว ยังมีเมมโมรี่พิเศษที่ปรับความแรงด้วยการโปรแกรมกล่องใหม่ด้วยการเปลี่ยนการ์ด ความแรงที่สั่งได้แค่การเปลี่ยนการ์ดรุ่นสูงกว่า PGM IV เปลี่ยนจากระบบ 8 bit มาเป็น 16 bit ทำงานได้ละเอียดกว่า ความสามารถสูงขึ้น แต่ที่บ้านเราไม่นิยมจนแทบหาไม่ได้เลยก็เพราะการใช้ Key Card นี่แหละ ด้วยความนิยมที่ลดลงและกฏหมายคุมเข้าเรื่องมลภาวะ NSR250 ก็เดินทางมาสู่จุดสุดท้ายปี 1999 เป็นปีสุดท้ายที่ NSR250 ยังมีจำหน่าย และในที่สุดมันก็ยุติสายการผลิตไปเหลือไว้แต่ตำนานของนักซิ่งสองจังหวะที่ร้อนแรงที่สุดในยุค 80'-90'